วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

"พลังแห่งสมาธิ" บันทึกหน้าที่1 เปลี่ยนตัวเองด้วยพลังแห่งสมาธิ

ตัวผมเองเป็นผมว่าผมเป็นคนคิดได้นะ ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรถึงไปถึงเป้าหมาย ผมรู้ว่าเป้าหมายของผมคืออะไร ปัญญามันคือการหนะสิ! สมองรู้ว่าต้องอะไร แต่ไม่สามารถควบคุมใจให้ทำมันได้ มันอยากทำนั่น มันเพลิดเพลินทำนี่ อย่างอยากผอมแต่กินมาก อยากพักผ่อนแต่นั่งอ่านข่าวอยู่ได้ไม่นอน ผมว่าทางเดียวที่ผมรู้จัก ที่ทำให้ควบคุมตัวเองได้ดีที่สุด คือ การฝึกสมาธิ ด้วยการนั่งสมาธิ ผมก็เลยผลัดจากงานที่จะทำ ไปนั่งสมาธิ จึงรู้สึกว่าตัวเองฟุ้งซ่านมาก แล้วรู้สึกว่า คงนานพอดู กว่าที่จะดีขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเอง เป็นรถที่วิ่งมาเร็ว แล้วเหยียบด้วยเบรคอยู่เต็มแรง มันยังคงไถลไปข้างหน้า ไม่หยุดทันที แต่หากยังเบรคต่อไปยังไงยังไง รถคันนี้ก็ต้องหยุด

ตัวผมที่มีความฟุ่งซ้าน ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างมากในตอนนี้ ดังนั้นผมจึงตั้งใจที่ควบคุมตัวเองให้ได้ด้วยการนั่งสมาธิ เหมือนดั่งเป็นรถที่ขับมาเร็วแล้วเบรค แม้ตอนนี้มันยังดีขึ้นไม่มาก รถมันจะยังไม่หยุด แต่ผมจะพยายามต่อไปให้มันหยุดให้ได้ จะบันทึก มาให้ผู้อ่านได้ฟังเรื่อยๆนะคับ ถ้ามันน่าสนใจ และคุณติดตามอยู่ ช่วยเป็นกำลังใจ บอกยังผู้เขียนด้วยนะครับ

***ถ้าอยากคุยกับคนเขียน ได้เลยที่เมลล์ benitorza@gmail.com

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

ไดอารี่ วันที่16-01-09 "สู่เป้าหมายของเรา อย่าไปกับกระแสของใคร"

วันนี้ ช่วงเย็นๆ ออกไปวิ่งออกกำลังกาย วิ่งจากบ้าน เรื่อยๆ จนไปถึงศาล ก็วิ่ง อย่างสบายๆ แซงคนอื่นไปเรื่อยๆ ไม่มีใครวิ่งแซงเรา วิ่งไปได้สัก3-4รอบ มีเสียงฝีเท้าตามหลัง ไม่รู้อะไร มันทำให้เราวิ่งให้เท่าเสียงฝีเท้าด้านหลังเพื่อไม่ให้เค้าแซงเราไปอีก5รอบ จึงนึกขึ้นว่า เฮ้ย "เราจะวิ่งเร็วทำไม? เป้าหมายวันนี้เราไม่ได้ จะมาวิ่งไม่ให้ใครแซงเรานะ จะมาวิ่งอยากได้ความอึด กะจะวิ่งให้ได้สัก20-25รอบ ทำไมเราต้องเพิ่มความเร็วไม่ให้เค้าแซงเราด้วย?" เมื่อรู้สึกตัวแล้ว จึงลดความเร็วลง มาอยู่ระดับที่วิ่งสบายๆอีกที แล้วเสียงฝีเท้าผู้วิ่งตามหลัง ก็แซงหน้าเราไป แต่ก็ไม่ถึงรอบ พี่แกก็เดิน แล้วเราก็วิ่งแซงพี่คนนั้นอีกครั้ง แต่มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีเลย การที่เราวิ่งโดยใช้ความเร็วไม่ให้พี่เค้าแซงนั้น ทำให้แรงกายของเราที่ควรจะมีวิ่งให้ถึงเป้าหมาย หมดไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้เราวิ่งได้วันนี้เพียง15รอบ ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมาย จากการที่เราหลุดออกจากความคิดสู่เป้าหมายของเราชั่วขณะหนึ่ง เราว่าชีวิตของเรา และใครอีกหลายคน พยายามวิ่งให้เร็วขึ้น วิ่งอยู่ในสนามแห่งการแข่งขันโดยไม่รู้ตัว โดยไม่อยากให้ใครแซงได้ และกระหายที่จะแซงคนอื่น ทั้งที่เป้าหมายของเราต่างออกไป ชีวิตที่อยู่ในสังคม บางทีมันหลอมให้เราเกิดบ้าการแข่งขันโดยไม่รู้ตัว โดยลืมความเป็นตัวของตัวเอง มันน่าเศร้าใจจังที่ตลอดมา เราเอาใจไปผูกกับการยกย่องกับความสำเร็จที่คนหมู่มากยกย่อง มากกว่าภูมิใจในความสำเร็จของตัวเราเอง ต่อจากนี้ไป เราจะวิ่งไปบนเส้นทางของชีวิต ด้วยเป้าหมายที่เมื่อไปถึงแล้ว เราจะภูมิใจในความสำเร็จของตัวเราเอง เราจะไม่สนใจอีกแล้ว ไม่ว่าใครเค้าจะมองเราว่าเป็นอย่างไรก็ตาม