วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

"พลังแห่งสมาธิ" บันทึกหน้าที่6 หายไป เพิ่มพูน ละเลย...

และแล้วหลังจากครั้งก่อน ผมก็หลุดไม่ได้นั่งสมาธิไปนาน

ทิ้งมาได้สักพัก มาอ่านหนังสือ"จริต6" บอกว่า การท่อง คาถาชินบัญชร ช่วยฝึกสมาธิ และพลังจิตได้ ผมฝึกได้อยู่สัก5-6วัน แล้วก็หลุดอีกแล้ว...

การท่องคาถาดีอย่างนึง มันทำให้ใจเราล่องลอยไม่ได้ มันทำให้ใจจดจ่อกับคาถาที่ต้องเปล่งเป็นเสียงออกมา ผมว่าผมควรฝึกวิธีนี้ก่อน ให้ได้ต่อเนื่อง22วัน ซึ่งมีคนกล่าวว่า หากทำอะไรติดต่อกันได้22วัน จะกลายเป็นกิจวัตร จะทำโดยรู้สึกไม่ฝืน

จากนั้น ผมจึงจะเริ่มฝึกควบคู่สมาธิไปด้วยอีกที

คนเข้ามาอ่าน คงหมดศรัทธาในตัวผมน่าดู

ผมก็รู้สึกว่าใครๆก็หมดศรัทธาในตัวผมบ่อยๆ

แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยืนหยัดและก้าวต่อไป ไม่ว่าใครจะมองจะว่าผม ทำให้ผมไม่เคยเศร้า ไม่เคยท้อ คือ

ผมศรัทธาในตัวเอง ผมเชื่อว่าผมทำได้ครับ สักวันคุณจะได้เห็น...

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทำเพื่อทำ เพราะรักจึงทำ อยากได้ทำเพื่อหวังผลอื่นใด

ทำเพื่อทำ เพราะรักจึงทำ อยากได้ทำเพื่อหวังผลอื่นใด หากเรากระทำสิ่งใดด้วยความข้างต้น ผมเชื่อว่า

การทำสิ่งนึงเพราะอยากทำ และอยากทำให้ดีที่สุด โดยไม่หวังผล จะทำให้ไม่เครียด ทั้งยังไม่คาดหวัง เมื่อไม่คาดหวัง จะมีสมาธิ

เมื่อมีสมาธิ จะทำสิ่งนั้นๆได้ดี เมื่อทำสิ่งนั้นๆได้ดีมากๆ จะได้เชี่ยวชาญในด้านนั้น และถ้าเชี่ยวชาญในด้านนั้น มันจะทำให้เป็นอาชีพได้

ทั้งยังไม่พบความทุกข์ เพราะมีความสุขที่ได้ทำมันอีก ผมคิดว่าสิ่งใดทำได้แบบนี้ ถ้าไม่ผิดศีลธรรม ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใคร

หาสิ่งที่ทำด้วยความรักจริงๆอย่างนั้นได้ ผมเชื่อว่า คนคนนั้นจะมีความสุขและประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำครับ

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จะเลิกกาแฟ...

ตั้งแต่เมื่อวานนี้ผมได้หยุดกินกาแฟ ทำให้ผมรู้สึกการได้หยุดกินน้ำอัดลมของผม มันนานสัก 2-3ปีได้แล้ว สำหรับการหยุดติด หยุดกินน้ำอัดลม สิ่งที่ดีขึ้นคือน้ำหนักที่ลดลง คือน้อยกว่าช่วงติดกินน้ำอัดลมอยู่4กิโลได้

มีแต่สิ่งดีๆ ที่หยุดติด แล้วทำไมผมจะไม่หยุดน๊า

ก็ไม่รู้เหมือนกัน น้ำอัดลมยังเห็นผลเสียชัดว่าควรหยุด แต่กาแฟเห็นแต่ผมดีถ้ากิน ผมก็งงว่าจะหยุดทำไม ถ้ามันมีผลดี แต่ผลเสียที่ผมรู้ คือ ผมกินกาแฟ แล้วผมรู้สึกว่า ผมต้องการให้ชีวิตเร็วเกินไป ผมว่าชีวิตผมต้องรู้จักช้าลงบ้าง มันจะง่ายขึ้น เห็นสิ่งสวยงามขึ้น สัมผัสรสชาติ และเข้าใจชีวิตมากขึ้น ดังนั้นถึงแม้กาแฟจะดีต่อสุขภาพ แต่ผมว่า บางทีมันทำให้ชีวิตผมเกินไป โดยเฉพาะที่กินกาแฟเพื่อพลังจากมัน จากที่นอนน้อยแล้ว

หยุดมาได้วันนึง วันนี้ก็วันที่สอง และจะไม่ติดมันอีก จะหยุดให้ได้ อยากให้ชีวิตนั้นลดความเร่งรีบลงบ้าง.

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

"พลังแห่งสมาธิ" บันทึกหน้าที่5 กลับมาอีกครั้ง ดูมีพลังว่าเดิม

เมื่อวาน ผมนั่งสมาธิ ผ่านไปนานเกือบชั่วโมง โดยตั้งใจว่าให้สงบเท่านั้น รู้สึกเหมือนว่าหัวมันไปสังเคราะห์เรื่องราวต่างๆมากมาย อดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวต่างๆ วิ่งไปดูเรื่องราว แล้วกลับมาจนปัจจุบัน คิดถึงการปล่อยวาง ไม่รู้ทำไม นั่งแค่อยากให้สงบ ใจไปผูกไปโยงว่าตัวเองไม่สงบ เพราะยึดติด คาดหวัง

และเมื่อเช้าก็นั่งอีกครั้ง เหมือนว่าเมื่อคืนวาน มันจับระเบียบใจแล้ว เช้านั่งปั้ปตื่นมา รู้สึกว่ามันสงบในทันที ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อคืนวานเลย

ไปแล้ว เดี๋ยวถ้าดีขึ้นจะมาเล่าให้ฟังใหม่อีกนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

"พลังแห่งสมาธิ" บันทึกหน้าที่4 และแล้วก็หลุด

ใจผมฟุ่งซ่านเกินไป จนลืมว่าสมาธินั้นเป็นตัวช่วยผม ผมหลุดไปแล้ว ไม่ได้นั่งสมาธิหลายวันเลย ตั้งแต่บันทึกครั้งก่อน ต้องบังคับตัวเองให้เป็นกิจวัตรให้ได้

"โฆษณา เซียงเพียวอิ๊ว"
คลิ๊ก! เพื่อชมคลิปวีดิโอโฆษณา
[source:http://clipvdo.marketeer.co.th/thailand/popup-thai.php?advertise=4248&page2=1]

มันคือโฆษณาดีๆที่ทำให้มีกำลังใจครับ ผมยิ้มได้ทุกครั้ง เมื่อเจออะไร เมื่อนึกถึงโฆษณานี้ หวังว่าจะเป็นกำลังใจ เป็นแง่คิดๆให้แก่เพื่อนๆได้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

09/02/08 อะไรคือทักษะที่สำคัญที่สุด ที่ถ้าฝึกมันให้เยี่ยมยอดจะมีผลต่อชีวิตของเรา อาชีพของเรา อนาคตของเรา

อะไรคือทักษะที่สำคัญที่สุด ที่ถ้าฝึกมันให้เยี่ยมยอดจะมีผลต่อชีวิตของเรา อาชีพของเรา อนาคตของเรา? คำถามนี้ ได้มาจากการอ่าน หนังสือEat that frog ในวันนี้ ซึ่งผมพบคำตอบของผมเอง คือ สมาธิ ตลอดช่วงชีวิตผมที่ผ่านมา ช่วงจะีดีไม่ดี ก็อยู่ที่ สติ และสมาธิ ที่ผมมีในแต่ละช่วง ตอนเป็นเด็ก ผมรู้สึกว่าผมเรียนได้ดี ผมรู้สึกว่าเพราะสมาธิ และพอโตขึ้น ผมเรียนได้ด้อยลง ก็เพราะสมาธิผมไม่มีเหมือนก่อน ว้าวุ่น คิดมาก ฟุ้งซ้าน และในอีกทางนึง เมื่อไม่ค่อยมีสมาธิแล้ว สติผมก็ไม่มี อย่างรู้นะ ว่าตอนนี้ต้องทำอะไร แต่ไม่สามารถใช้สติควบคุมตัวเองให้ทำอะไรให้ได้ดั่งใจได้ เหมือนเครื่องจักรที่ทรงอนุภาพ แต่ขาดการควบคุมที่ทำได้อย่างสมบูรณ์ ผมต้องฝึักสมาธิให้มากกว่านี้ อาจจะหายใจลึกๆ ตลอดเวลาด้วย เพื่อให้สงบทุกเวลา เพียงนั่งก่อนนอน กับตื่นตอนเช้าดูจะน้อยเกินไป ถ้าฝึกทั้งวันคงดี

ทักษะที่ผมต่อชีวิตผม ผมบอกตัวเองว่าต้องฝึกดังต่อไปนี้
1.สมาธิ ฝึกสมาธิ มีสมาธิ สติผมว่ามันจะคู่กัน เมื่อมีสติแล้ว ปัญญาก็คิดว่าพอมี สิ่งที่ทรงพลังคือ สติปัญญา มีแต่ปัญญาไร้สติ ผมก็แค่คนที่คิดได้ ทำไม่ได้ มันก็ไม่ไช่เรื่องดีเลย
2.ภาษาอังกฤษ ทั้งเป้าหมายที่ผมจะสอบSMART1 หรืออยากเรียนต่อ ออสเตรเลีย ย่อมต้องใช้ทักษะนี้ทั้งนั้น
3.คณิตศาสตร์ ผมจะได้ใช้มันในการสอบSMART1
3.ข่าวสาร มันมีความสำคัญ มันอาจเป็นไอเดียดีๆในการทำธุรกิจในอนาคต มันอาจจะทำให้มุมมองผมกว้างขึ้น และมันยังใช้ในการสอบSMART1อีกด้วย

ลองเอาไปใช้ดูครับ ทักษะไหนที่สำคัญต่อชีวิต เรียงลำดับ ฝึกฝนมัน มันอาจเติมเต็มชีวิตมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พลังแห่งสมาธิ" บันทึกหน้าที่3 รูปแบบการนั่งสมาธิของผม

ผมนั่งสมาธิ โดยนั่งขัดสมาธิ ขาซ้ายทับแขนขวา มือขวาทับมือซ้าย หายใจโดยเน้นในแผ่วเบาให้เกิดกระแสผมบางๆ ขณะที่ว่า นั่งสมาธิไม่ได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง หายใจเข้าจนสุด คือหายใจเข้าไม่ได้อีก หยุดชั่วครู่ และค่อยๆปล่อยผมหายใจอย่างแผ่วเบาเช่นเดียวกับตอนหายใจเข้า

ประสบการณ์ของผมคือ เมื่อแรกนั่งนั้น จะมีเรื่องฟุ้งซ้านมากมาย ที่เกิดขึ้นแม้ไม่สนใจคิดถึงมัน แต่นั่งไปสักพัก ก็จะเริ่มว่าง มีเพียงสติที่เพ่งไปยังลมหายใจเข้าออก นานๆจะมีอะไรฟุ้งขึ้นบ้าง แต่จะน้อยลงน้อยลง

เคยได้ยินอีกแบบหนึ่ง คือการกำหนดลมหายใจเป็น3ช่วง คือ หายใจเข้า กักลมหายใจไว้ และหายใจออก โดยแต่ละช่วงใช้เวลาเท่าๆกัน จะนำไปปฏิบัติ และมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

"พลังแห่งสมาธิ" บันทึกหน้าที่2 เริ่มนั่งสมาธิ

ผมเิริ่มนั่งทุกเช้า แต่ว่า4วันมานี้ นั่งแค่2วัน นั่งตอนตื่นขึ้นมาตอนเช้า 5-10นาทีเนี่ยแหละคับ แต่ทำให้รู้สึกว่า มีสติบ้าง แบบว่าทุกอย่าง ถ้าผิด ต้องผิดสุดๆ หรือทำผิดจนเรียบร้อยจึงรู้ตัว แต่นี่ทำผิดกลางๆคัน ทำสิ่งที่ไม่ควรกลางๆคัน ก็รู้ตัวแล้ว สติเตือนแล้ว ผมคงต้องนั่งเช้าเย็น ทุกวัน น่าจะช่วยผมได้มากขึ้นอีก ถ้ามีรายงานคืบหน้า จะมารายงานนะคับ

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

"พลังแห่งสมาธิ" บันทึกหน้าที่1 เปลี่ยนตัวเองด้วยพลังแห่งสมาธิ

ตัวผมเองเป็นผมว่าผมเป็นคนคิดได้นะ ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรถึงไปถึงเป้าหมาย ผมรู้ว่าเป้าหมายของผมคืออะไร ปัญญามันคือการหนะสิ! สมองรู้ว่าต้องอะไร แต่ไม่สามารถควบคุมใจให้ทำมันได้ มันอยากทำนั่น มันเพลิดเพลินทำนี่ อย่างอยากผอมแต่กินมาก อยากพักผ่อนแต่นั่งอ่านข่าวอยู่ได้ไม่นอน ผมว่าทางเดียวที่ผมรู้จัก ที่ทำให้ควบคุมตัวเองได้ดีที่สุด คือ การฝึกสมาธิ ด้วยการนั่งสมาธิ ผมก็เลยผลัดจากงานที่จะทำ ไปนั่งสมาธิ จึงรู้สึกว่าตัวเองฟุ้งซ่านมาก แล้วรู้สึกว่า คงนานพอดู กว่าที่จะดีขึ้น รู้สึกเหมือนตัวเอง เป็นรถที่วิ่งมาเร็ว แล้วเหยียบด้วยเบรคอยู่เต็มแรง มันยังคงไถลไปข้างหน้า ไม่หยุดทันที แต่หากยังเบรคต่อไปยังไงยังไง รถคันนี้ก็ต้องหยุด

ตัวผมที่มีความฟุ่งซ้าน ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างมากในตอนนี้ ดังนั้นผมจึงตั้งใจที่ควบคุมตัวเองให้ได้ด้วยการนั่งสมาธิ เหมือนดั่งเป็นรถที่ขับมาเร็วแล้วเบรค แม้ตอนนี้มันยังดีขึ้นไม่มาก รถมันจะยังไม่หยุด แต่ผมจะพยายามต่อไปให้มันหยุดให้ได้ จะบันทึก มาให้ผู้อ่านได้ฟังเรื่อยๆนะคับ ถ้ามันน่าสนใจ และคุณติดตามอยู่ ช่วยเป็นกำลังใจ บอกยังผู้เขียนด้วยนะครับ

***ถ้าอยากคุยกับคนเขียน ได้เลยที่เมลล์ benitorza@gmail.com

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

ไดอารี่ วันที่16-01-09 "สู่เป้าหมายของเรา อย่าไปกับกระแสของใคร"

วันนี้ ช่วงเย็นๆ ออกไปวิ่งออกกำลังกาย วิ่งจากบ้าน เรื่อยๆ จนไปถึงศาล ก็วิ่ง อย่างสบายๆ แซงคนอื่นไปเรื่อยๆ ไม่มีใครวิ่งแซงเรา วิ่งไปได้สัก3-4รอบ มีเสียงฝีเท้าตามหลัง ไม่รู้อะไร มันทำให้เราวิ่งให้เท่าเสียงฝีเท้าด้านหลังเพื่อไม่ให้เค้าแซงเราไปอีก5รอบ จึงนึกขึ้นว่า เฮ้ย "เราจะวิ่งเร็วทำไม? เป้าหมายวันนี้เราไม่ได้ จะมาวิ่งไม่ให้ใครแซงเรานะ จะมาวิ่งอยากได้ความอึด กะจะวิ่งให้ได้สัก20-25รอบ ทำไมเราต้องเพิ่มความเร็วไม่ให้เค้าแซงเราด้วย?" เมื่อรู้สึกตัวแล้ว จึงลดความเร็วลง มาอยู่ระดับที่วิ่งสบายๆอีกที แล้วเสียงฝีเท้าผู้วิ่งตามหลัง ก็แซงหน้าเราไป แต่ก็ไม่ถึงรอบ พี่แกก็เดิน แล้วเราก็วิ่งแซงพี่คนนั้นอีกครั้ง แต่มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีเลย การที่เราวิ่งโดยใช้ความเร็วไม่ให้พี่เค้าแซงนั้น ทำให้แรงกายของเราที่ควรจะมีวิ่งให้ถึงเป้าหมาย หมดไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้เราวิ่งได้วันนี้เพียง15รอบ ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมาย จากการที่เราหลุดออกจากความคิดสู่เป้าหมายของเราชั่วขณะหนึ่ง เราว่าชีวิตของเรา และใครอีกหลายคน พยายามวิ่งให้เร็วขึ้น วิ่งอยู่ในสนามแห่งการแข่งขันโดยไม่รู้ตัว โดยไม่อยากให้ใครแซงได้ และกระหายที่จะแซงคนอื่น ทั้งที่เป้าหมายของเราต่างออกไป ชีวิตที่อยู่ในสังคม บางทีมันหลอมให้เราเกิดบ้าการแข่งขันโดยไม่รู้ตัว โดยลืมความเป็นตัวของตัวเอง มันน่าเศร้าใจจังที่ตลอดมา เราเอาใจไปผูกกับการยกย่องกับความสำเร็จที่คนหมู่มากยกย่อง มากกว่าภูมิใจในความสำเร็จของตัวเราเอง ต่อจากนี้ไป เราจะวิ่งไปบนเส้นทางของชีวิต ด้วยเป้าหมายที่เมื่อไปถึงแล้ว เราจะภูมิใจในความสำเร็จของตัวเราเอง เราจะไม่สนใจอีกแล้ว ไม่ว่าใครเค้าจะมองเราว่าเป็นอย่างไรก็ตาม